คุณพ่อเจ กับ การเดินทางของชีวิต
มินิซีรีส์ "กรุของเก่า ณ บ้านหลังน้อยร้อยปี ประเทศฝรั่งเศส"
รวมทุกตอนใน มินิซีรีส์ "กรุของเก่า ณ บ้านหลังน้อยร้อยปี ประเทศฝรั่งเศส"
จากตอนที่แล้ว เราได้บุก กรุไวน์เก่า ณ ห้องลับใต้ดิน ไปแล้ว ได้ลิ้มชิมรสไวน์เลิศรส และคงสงสัยมิใช่น้อยว่าไวน์เหล่านี้เป็นคนสะสมของผู้ใดกัน อิฉันขอรับเกรียติเป็นผู้แนะนำ คุณพ่อเจ แห่งตระกูลพีทีให้ทุกท่านได้รู้จัก
แว๊ปแรกที่อิฉันได้ยลโฉมของคุณพ่อเจ อิฉันต้องบอกว่า นี่ถ้าอายุเราไม่ห่างกันจนเกินไป หรือ ถ้ากระจกทวิภพบังเอิญมีอยู่จริง อิฉันนี่จะชะแว๊ปข้ามกาลเวลาแอบเข้าไปทำความรู้จักคุณผู้ชายที่หล่อเหล่า ดูมีสไตล์ท่านนี้เสียจริง ๆ
ท่ามกลางหลักฐานภาพถ่ายเก่า ๆ ของท่าน ฉันเหลือบไปเห็นกระดาษเหลือง ๆ เก่า ๆ เป็นข่าวสังคมที่ตัดออกมาจากหนังสือพิมพ์ เนื้อหาในข่าวบอกว่าคุณพ่อเจและครอบครัวจะร่วมรับประทานอาหารเรื่องในวันคริสมาสต์กับครอบครับ Goodrich
ถึงแม้จะไม่รู้จักใครซักคนในเนื้อข่าว แต่ก็ทำให้ฉันถึงกับฉงนและต้องเอ่ยปากถามคุณผู้ชายของฉันว่า พ่อเธอเขาเป็นใครกัน ทำไมหนังสือพิมพ์จิต้องลงข่าวว่าท่านจะไปทานข้าวที่ไหนด้วย
และนั่นจึงเป็นที่มาของการเล่าเรื่องอันชวนน่าติดตามเสียนี่กระไร
คุณพ่อเจ เติบโตขึ้นมาภายในบ้านเก่าหลังต้นเรื่องของ มินิซีรีส์ กรุของเก่า ณ บ้านหลังน้อยร้อยปี ประเทศฝรั่งเศส ที่ที่อิฉันได้มาฝังตัวเป็นนังพจมาน ณ บ้านทรายทองเวอร์ชั่นยุโรปอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เอาหล่ะ เวิ่นเว้อ เข้าเรื่องกัน คุณพ่อเจนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยการดูแลของคุณปู่คุณย่าตระกูลพีที พร้อมกับพี่น้องรวมกัน 5 คน
ภาพคุณพ่อเจและพี่น้องทั้งห้า ดูซิ แววหล่อนั้นมีมาแต่วัยเด็กเลยก็ว่าได้
เห็นจะเป็นด้วยความเคร่งศาสนาและกฏระเนียบของรุ่นปู่ย่าเป็นเหตุ คุณพ่อเจถึงได้มุมานะทำงานเก็บสะสมเงินเพื่อที่จะได้ออกจากบ้านตระกูลพีทีไปให้เร็วที่สุด และ ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และเมื่อวัยย่างเข้ายี่สิบ ท่านได้นำเงินที่หามาได้ซื้อตั๋วเรือขาเดียว ขาเดียวนะพี่น้อง จากฝรั่งเศสไปยังประเทศอเมริกา เรียกว่าถ้าไม่ได้ดีจะไม่กลับมาเยือนฝรั่งเศสเลยเชียว เห็นภาพชายหนุ่มผู้เด็ดเดี่ยวแบบที่ฉันเห็นไหมทุกคน
แหม ในยุคนั้นการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก ทั้งยังพูดคนละภาษา ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างเช่นทุกวันนี้ ไม่มีกูเกิลแมพ ไม่มีกูเกิลแปลภาษา
ฉันนึกเห็นภาพแจ๊ค ดอร์สัน แห่งไททานิกกระโดดโลดเต้นดีใจที่จะได้ไปเหยียบแผ่นดินอเมริกาเป็นครั้งแรกยังไงยังงั้น ดีนะที่เรือของคุณพ่อเจไม่ล่ม มิเช่นนั้น ฉันคงไม่มีเรื่องมาเล่าให้ทุกคนฟัง
ภาพแจ๊ค ดอร์สัน จาก หนังเรื่องไททานิค ขณะกำลังไปขึ้นเรือ คุณพ่อเจก็คงอารมณ์ราว ๆ นี้เลยว่าไหม
แล้วคุณพ่อเจของเราไปทำอะไรที่นั่น การเริ่มต้นนั้นไม่ได้สวยหรูดูดีเด่นอะไร ท่านเริ่มต้นจากการไปทำงานใช้แรงงานในไร่องุ่น เก็บหอมรอมริบ จนได้รถคันนี้มาขับเท่ ๆ คงจะต้องทำงานอย่างสาหัสเลยนะนั่น
จากอเมริกาท่านได้ลัดเลาะไปยังประเทศแคนาดา และที่แห่งนี้นี่เองที่ดอกผลแห่งความพยายามได้งอกเงย จากชายหนุ่มที่มาแต่ตัว พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ แต่ด้วยความสามารถและความกล้าได้กล้าเสีย ท่านได้ทำงานกับโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งจนประสบการณ์โชกโชน และในเวลาต่อมาท่านได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาของตัวเองชื่อว่า Language Power ที่เมือง Montreal ประเทศแคนาดา ซึ่งในเวลานั้นเต็มไปด้วยคนฝรั่งเศสที่ย้ายเข้ามา
คิดดูซิ ตอนไปพูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้ แต่ผันตัวมาเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาเสียได้
ฉันเองก็มิเข้าใจหรอกว่าคุณพ่อเจนั้นประสบความสำเร็จขนาดไหน จนได้มาเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของประเทศแคนาดา โรงเรียนสอนภาษา Language Power ถือเป็นโรงเรียนแรก ๆ เลยก็ว่าได้ที่ได้ริเริ่มการเรียนการสอนแบบมีภาพมีเสียงประกอบก็เลยกลายเป็นที่ฮือฮาของคนในยุคนั้น
ความสำเร็จก็มิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น คุณพ่อเจ นำโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จกลับมาขยายที่ฝรั่งเศสอีกจะหาก
จำได้ไหมค่ะ ตอนไปด้วยตั๋วเรือเที่ยวเดียว ตอนกลับตั๋วไปใบนี้ค่ะ ที่นั่งชั้นหนึ่ง
เมนูอาหารสำหรับที่นั่งชั้นหนึ่งในเที่ยวบินจากนิวยอร์คสู่ปารีส เป็นหนึ่งในหลักฐานแสดงถึงความสำเร็จและรสนิยมของคุณพ่อเจได้ดี ถ้าพูดถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินในทศวรรษที่ 21 นี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็บินได้ ตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้แพงแบบจับต้องไม่ได้อีกต่อไป แต่หากย้อนไปในช่วงปี 19 แล้ว โอกาสการได้เดินทางด้วยเครื่องบิน แม้แต่ชั้นประหยัดก็สงวนไว้สำหรับผู้ที่ถือว่ามีอันจะกินเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการบินด้วยตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งเลย คนแบบไหนกันนะที่จะยอมจ่ายตังค์จำนวนมากนี้ ก็คงแบบคุณพ่อเจนี่กระมัง
ธุรกิจการบินที่ดูคุ้นตาและเคยชินนั้น จริง ๆ แล้ว ก็เพิ่งเริ่มต้นหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 1 นี้เอง หลังจากนายชาร์ล ลินด์เบิร์ก (Charles Lindberg) นักบินชาวอเมริกันได้ประสบความสาเร็จในการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากนครนิวยอร์คไปนครปารีสโดยมิได้หยุดพักเป็นคร้ังแรกในปี ค.ศ. 1927 (พ.ศ. 2470) เก่งมากนะเออ อิฉันละสงสัยว่าเธอขับเครื่องบินยังไงไม่ง่วง แล้วกินยังไง เข้าห้องน้ำยังไง ปวดอึจะทำยังไง ให้เธอลองกลั้นฉี่บินจากนิวยอร์คถึงปารีสดูซิไหวเปล่า และยิ่งในยุคนั้นเครื่องบินมันไม่ได้ล้ำหน้าอย่างตอนนี้ ไฟล์ที่ว่ากินเวลาถึงสามสิบสามชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว เด็ดเดี่ยวมากนะนายชาร์ลนี่ ขอดูหน้าหน่อยซิ
นายแน่มาก อิฉันขอซูหกให้ในความกล้าหาญ ระยะทางไกลขนาดนั้น นักบินผู้ช่วยไม่มี เครื่องบินก็เล็กจิ๊ดนึง ตกก็ลงไปในทะเล เครื่องบิน ก็เครื่องบินเถอะได้กลายเป็นเรือดำน้ำเลยเจ้าคะ แต่ดำดิ่งไม่ผุดนะฮะ ความสำเร็จของคนหนึ่งคน ก่อให้เกิดความเป็นไปได้อย่างมากมาย และหากไม่มีความกล้าหาญของชายคนนี้ ก็จะไม่มีเครื่องบินพาณิชน์ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน และเป็นที่มาของโลกไร้พรมแดน น่าตื่นเต้นเนอะเธอเนอะ
กลับมาที่คุณพ่อเจกันต่อ คุณพ่อเจนั้นก็มีความหลงไหลในการเดินทาง โดยเฉพาะเจ้าเครื่องบินที่เหาะเหินกลางอากาศแบบนี้ได้ จึงมิน่าแปลกใจที่อิฉันจะได้ค้นพบของชำร่วยจากเที่ยวบินพิเศษเหล่านี้
ความคลั้งไคล้การบินนี้ส่งต่อมายังถึงรุ่นลูก ก็คือคุณผู้ชายของอิฉันนั่นเอง เธอเองก็ชอบสะสมประสบการณ์การบิน เป็นนักบินก็ไม่ใช่ เรียกว่าเธอนั้นชอบเอามาก ๆ การได้อยู่บนฟากฟ้าท่ามกลางดวงดาว บินถลาเหมือนนก เรียกว่า เวลาเธอจองตั๋วเครื่องบินนั้น เธอจะเลือกเที่ยวบินที่ยาวนานเป็นพิเศษ และ เวลาพักเครื่องแบบข้ามวันได้ยิ่งดี เชื่อไหมละเออ พวกเราเคยบินจากเกาหลีมาบาหลีด้วยสนนเวลาที่ 24 ชั่วโมง พ่อเจ้าพระคุณ เลือกเส้นทางซะอ้อมโลก หยุดพักแทบตากอากาศได้ ต่างจากคนทั่วไปที่อยากจะไปถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด หากจะบินจากฝรั่งเศสมาเมืองไทย เธอจะเลือกเที่ยวบินที่บินผ่านญี่ปุ่น หรือไม่งั้นแล้วก็แวะญี่ปุ่นก่อนซะเลยค่อยมาเมืองไทย ใช่ว่าเธออยากไปญี่ปุ่นหรอกนะ แต่เพราะเที่ยวบินที่ตรงมาเมืองไทยเลยนั้นจะไม่ได้บินผ่านเทือกเขาเอลล์ ซึ่งเป็นวิวที่เธอชอบมากที่สุด คิดดูซินะ คนอะไร ยอมบินยาว บินอ้อม ๆ หรือแม้แต่จ่ายแพงกว่า เพื่อไปเห็นวิวเหนือเมฆที่ปรารถนา อย่างนี้จะไม่เรียกว่าคลั้งไคล้ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
มาดู พ่อลูกของสะสมไม่ต่างกัน แต่ที่เห็นแตกต่างชัดเจนก็เห็นจะเป็นการออกแบบในช่วงปี 19 นั้นดูน่ารัก น่าสะสม มีความเป็นศิลปิน และที่ดูจะเป็นความภาคภูมิใจก็คือบอลลูนนั่นเอง เพราะประเทศฝรั่งเศสนั้นเป็นเจ้าแรกของโลกที่สามารถนำวัตถุขึ้นไปลอยบนฟ้าได้ ที่มาของบอลลูนนั่นเอง ส่วนการออกแบบของปี 20 นั้น ดูจะเรียบง่ายออกแนวมินิมอล ใครชอบแนวไหนโหวตหน่อยเจ้าคะ ส่วนตัวอิฉันชอบของเก่าดูน่ารักกิ๊บเก๋
นอกจากจะค้นเจอหลักฐานการบินมากมาย ยังเจอคอลเล็คชั่นกระเป๋าเดินทางของคุณพ่อเจ คนสมัยก่อนเขาใช้กระเป๋าแบบนี้กันนะเออ
หลังจากคุณพ่อเจกลับมาเยือนฝรั่งเศสบ้านเกิดเมืองนอน ท่านก็ได้นำเอาโรงเรียนสอนภาษามาขยายที่ฝรั่งเศส ถึงเวลาชาวฝรั่งเศสได้เซย์เฮลโหลกันบ้าง
และที่แน่นอนที่สุดด้วยความสามารถและบ้างาน ท่านก็ทำให้โรงเรียนสอนภาษาประสบความสำเร็จติดตามสาขาที่แคนาดาไปเลยเจ้าคะ
แต่อิฉันก็มิได้ล่วงรู้ว่าความสำเร็จนั้นไม่ใช่ขั้นธรรมดาเมื่ออิฉันได้ยลหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาฝรั่งเศสเข้าให้
คนฝรั่งเศสนั้นเป็นพวกชาตินิยม เธอว่าคุณพ่อเจจะนำภาษามาสอนให้พวกคนฝรั่งเศสได้สำเร็จหรือไม่
รายชื่อบรรดาลูกค้าทำให้อิฉันต้องมองฝรั่งเศสเสียใหม่ พวกเขามีความรักเรียนอยู่นะ บรรดาลูกค้าที่มาเรียนที่โรงเรียนของคุณพ่อเจนั้น ต้องบอกว่าเป็นบรรดาบริษัทใหญ่โตทั้งนั้น รับรองว่าพวกเธอต้องรู้จักอย่างแน่นอน ไอ้ที่วง ๆ ไว้เป็นบริษัทใหญ่โตที่เรา ๆ ท่าน ๆ น่าจะรู้จักกันดี ว้าว น่าทึ่งเสียนี่กระไร
ชายวัยกลางคนที่มาพร้อมความสำเร็จและเงินทองคนนี้ ใช้ชีวิตแบบหรูหราฟู่ฟ่า ภาพถ่ายตามงานสังคมต่าง ๆ รวมทั้งข้าวของที่สะสมไว้ซึ่งยังคงหลงเหลือร่องรอยความอู่ฟู่ในสมัยนั้นให้เห็น ห้องใต้หลังคาที่เต็มไปด้วยหีบห่อข้าวของมากมาย อิฉันและคุณผู้ชายค่อย ๆ ช่วยกันรื้อและทำรายการข้าวของ ซึ่งส่วนมากคือเครื่องแก้วคริสตัลอย่างดี ที่ทำให้อิฉันจิตนาการภาพตามถึงรสนิยมของผู้สะสม ไว้โอกาสหน้าเมื่อย้ายทุกอย่างเข้าบ้านใหม่ (ที่ก็กำลังมองหาอยู่) จะนำมาให้ได้ชมกันนะคะ ตอนนี้ยังอยู่ในฝรั่งเศส รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ไม่ปลอดภัย ตอนที่เพื่อน ๆ ได้อ่านนี้ เราได้จัดการย้ายทรัพทย์สินที่สำคัญต่อใจออกไปจนหมดแล้ว
ภาพถ่ายในวันแต่งงานที่ทั้งคู่คงไม่เคยจินตนาการถึงจุดจบ
ชีวิตคุณพ่อเจ ก็ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ นี่ละหนาชีวิต มีดีได้ก็มีร้ายด้วย ดั่งเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ความสำเร็จในอาชีพก็แลกมาด้วยความล้มเหลวในชีวิตคู่ การแต่งงานครั้งแรกของคุณพ่อเจนั้น ล้มไม่เป็นท่า ถึงแม้จะมีภรรยาที่สวยระดับที่ว่าผ่านเวทีนางงามมาแล้ว รวมทั้งโซ่ทองคล้องใจถึงสองคน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นแน่นแฟ้นขึ้น จนสุดท้ายก็ถึงวาระที่ต้องแยกทางกันไป
เป็นผู้หญิงที่สวยมีเสน่ห์เสียจริง ๆ ฉันยังเผลอจ้องมองอยู่เป็นนานสองนาน
ฉันเองนั้น มิได้รับรู้เรื่องราวของพวกท่านทั้งสอง มองเห็นเพียงร่องรอยของข้าวของบางส่วนที่ยังคงเก็บอยู่ลึกในห้องเก็บของใต้หลังคา ยังสัมผัสได้ถึงความเศร้าผ่านข้าวของสวยงามที่บ่งบอกถึงฐานะของผู้ครั้งเคยครอบครอง
คุณพ่อเจที่ไร้ครอบครัว ในเวลานี้มีเพียงสิ่งเดียวคืองานของท่าน แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกลา เมื่ออายุล่วง ผมที่ดกดำเปลี่ยนเป็นสีขาว บริษัทกำลังรุ่งโรจน์ ขยายสาขาในฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วก็มีปัญหาก็เกิดขึ้น ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ ไม่แล้วก็ไว้ใจคนผิด คุณพ่อเจ ถูกเพื่อนร่วมหุ้นหักหลังและผลักใสให้ออกจากบริษัทที่ตัวเองเป็นผู้ก่อตั้ง อารมณ์ประมาณสตีฟ จ๊อบ แห่ง แอ๊ปเปิ้ลยังไงยังงั้น ผู้ชายที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากไม่มีอะไร กลับคืนสู่ความไม่มีอะไรอีกครั้ง ส่วนเพื่อนร่วมหุ้นต้นเหตุแห่งความสูญเสียนี้ หนีไม่พ้นเคราะห์กรรม เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตทันทีหลังจากฮุบบริษัทไปได้เพียงไม่กี่เดือน เป็นเหตุให้ โรงเรียนสอนภาษา Language Power ที่กำลังรุ่งโรจน์ถึงกาลแตกดับด้วยขาดผู้บริหาร น่าเสียดายแท้ ๆ หากโรงเรียนสอนภาษา Language Power ยังอยู่คนฝรั่งเศสอาจจะพูดภาษาอังกฤษได้มากกว่านี้
แล้วทางคุณพ่อเจละเป็นอย่างไร ณ พื้นที่ว่างเปล่าของความไม่มีอะไรนี้เอง คือ จุดเริ่มต้นของความรัก บ่อยครั้งที่เรื่องดี ๆ มักจะตามมา เหมือนฟ้าหลังฝน เรื่องราวที่จะเล่าต่อจากตอนนี้จะ เชื่อว่าจะเป็นกำลังใจให้ทุกคนในวันที่ล้มให้ยังมีหวัง พบกันใหม่ตอนหน้า
รัก
ลิต้าเจน
อ่านแล้วเคลิ้มตามค่ะ
#อยากข้ามภพไปเห็นคุณพ่อเจจริงๆ
#เครื่องประดับโบราณ ดูกี่ครั้งก้อหลงใหล มีมนต์ขลัง นำออกมาโชว์ให้ได้เห็นเป็นบุญตาบ่อยๆนะคะ🥰