ตอนที่ 22 เธอจากไปแล้ว
ลิต้าเจน เดอะ ซีรีส์ 1 หลงทางรักนครมายา
Image by Josh Clifford from Pixabay
ตอนก่อนหน้าและตอนถัดไปรวมอยู่ในนี้ รวมทุกตอน
กลางดึกคืนนั้น เวลาเท่าไหร่ ฉันไม่รู้ได้ พวกเราหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน โดยไม่รู้เลยว่าฉันกำลังจะถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน มาเจอความจริงที่แสนเลวร้าย
ฉันได้ยินเสียงกลอนประตูเปิดออก แต่ไม่แน่ใจนักว่าคือความจริง หรือ ความฝัน
เสียงแหลมก้องดังขึ้นในความมืด
“เมื่อไหร่เธอจะจัดการซักที ฉันทนรอไม่ไหวแล้วนะ”
ฉันงัวเงียตื่นขึ้นในความมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากไฟจากทางเดิน ส่องให้เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนถกเถียงกันอยู่ ฉันมองไปรอบที่นอน ก็พบกับความว่างเปล่า ฉันจึงจับใจความได้ว่า ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือกวินทร์นั่นเอง
“มาลิสาเธอกลับไปก่อน ฉันขอร้อง” เสียงที่คุ้นเคยของ กวินทร์ แฝงไปด้วยความร้อนรน
ในนาทีนั้น ฉันงุงงง สับสนไปหมด ในหัวยังคงมึน ๆ จากไวน์ที่ดื่มไปเมื่อคืน แยกไม่ออกว่านี่คือเรื่องจริง หรือ แค่ฝันร้าย
“นั่นไง คนของเธอตื่นแล้ว” เสียงแหลมสูงดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งแสงไฟที่ถูกเปิดให้สว่าง ฉันหยี่ตาลง ด้วยรู้สึกระคายเคือง จากแสงที่สาดเข้ามา
ทันทีที่ลืมตาดูภาพเบื้องหน้า หน้าอกข้างซ้ายของฉันถึงกับกระตุกอย่างแรงหลายครั้ง
ฉันมองดูเธอ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอเหมือนผู้หญิงในภาพนั้น ที่ชื่อว่ามาลิสา เธอแต่งตัวสวยจัดจ้าน รองเท้าส้นสูง ถุงน่องสีดำ กระโปรงสั้นหนัง กับเสื้อโค้ทตัวโต ใบหน้าของเธอตบแต่งด้วยเครื่องสำอาง พร้อมทั้งเรือนผมที่ดูสวยสมกันดี เธอคงจะเพิ่งกลับมาจาก การฉลองปีใหม่ ต่างจากฉันที่หัวยุ่งกระเซอะกระเซิง หน้าตาดูไม่ได้ เพราะเพิ่งลุกขึ้นจากที่นอน
“เอายังไง ว่ามา” มาลิสาพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี แล้วหันไปมองทางกวินทร์
ฉันได้แต่ งงงัน ไม่มีแม้เสียงจะเปล่งออกมา เธอพูดถึงอะไรกัน
“มันดึกมาก ค่อยคุยกันวันหลัง” กวินทร์พูดพร้อมทั้งคว้าแขนของมาลิสาและพยายามพาออกไปนอกห้อง
“ไม่ กวินทร์ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเธอจะจัดการ ตามที่สัญญาไว้”
“สัญญาอะไร” ฉันพูดทั้งเสียงสั่นเครือ หันไปมองกวินทร์ เพราะต้องการคำตอบ ทั้งๆที่ใจก็กลัวหนักหนา
กวินทร์ได้แต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา
“เธอจะพูดเอง หรือจะให้ฉันพูด” มาลิสาขึ้นเสียง
“เธอเมาแล้วมาลิสา เอาไว้วันหลังค่อยคุยกันเรื่องนี้” กวินทร์พยายามกดอารมณ์เอาไว้ พร้อมทั้งดึงมาลิสาออกมาจากห้อง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เธอสะบัดมือออก แล้วเดินตรงมาทางฉันที่ยังนั่งงุนงง ตัวสั่นอยู่บนที่นอน
“กวินทร์ เขาสัญญาว่า เขาจะทิ้งเธอยังไงละ” มาลิสาพูดอย่างเลือดเย็น
“พอก่อน มาลิสา” กวินทร์ร้องห้าม แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
ฉันตกใจอย่างสุดขีด เสมือนประจันหน้ากับสัตว์ที่ดุร้าย ตัวของฉันสั่นเทิ่ม ได้แต่ภาวนาในใจ โปรดขอให้ฉัน ได้นอนหลับฝันต่อ ได้โปรดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง ภาพความหลังของเราสอง ถ้อยคำรักที่เขาพร่ำ มันเป็นจริงไปไม่ได้หรอก ฉันได้แต่ยืนยันกับตัวเองในใจ กวินทร์ได้โปรด พูดอะไรซักอย่าง ที่จะมาหยุดความเร้าร้อนในใจของฉัน
“จริงหรือกวินทร์” ฉันหันไปหากวินทร์ที่ได้แต่นิ่งเงียบ และหลบตาของฉัน เขากำมือแน่น และขบริมฝีปากด้วยความเครียด
“ตอบเธอไปซิ กวินทร์” มาลิสาพูดด้วยความรำคาญ
“บอกฉันซิ กวินทร์” ฉันร้องขอ เนื้อตัวสั่นเทา ไปด้วยความกลัว และ ความสับสน
“ฉันขอโทษ”
คำตอบสั้นๆ ของกวินทร์ทำเอาฉันหัวใจสลาย ฉันไม่เข้าใจและฉันไม่อยากเชื่อ เสมือนว่าตื่นมาตอนเช้า คาดหวังว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกเช่นเคย กลับพบว่าพระอาทิตย์นั้น ขึ้นทางทิศตะวันตก หันไปหาใครเพื่อยืนยันความสับสนที่อยู่ในใจ ทุกคนกลับบอกว่ามันเป็นอย่างนี้ อยู่ช้านาน เสมือนว่ามีเพียงฉันที่เข้าใจผิดไป
“ทำไม”
ฉันถามอย่างเลื่อนลอย ท่ามกลางความเงียบ ไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกจากปาก ของกวินทร์ ฉันหันไปทางมาลิสาเพื่อขอคำอธิบาย
“กวินทร์ไม่เคยบอกเธอเหรอว่า...” มาลิสาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่โดนหยุดไว้ ด้วยกวินทร์เสียก่อน
“พอเถอะ มาลิสา ฉันทำตามที่สัญญาไว้แล้ว เราไปกันได้หรือยัง” กวินทร์พูดอย่างเย็นชา พร้อมทั้งคว้าแขนของมาลิสา และ เขาทั้งคู่ก็จากไป ทิ้งฉันไว้ในห้องเพียงลำพัง
ฉันวิ่งไปดูที่หน้าต่างเห็นเขาทั้งคู่ก้าวขึ้นรถสีแดงคันเล็ก ๆ คงเป็นรถของมาลิสา แล้วจากไปในที่สุด
กวินทร์จากไปแล้ว ฉันทรุดตัวลงตรงนั้น แล้วกรี๊ดร้องอย่างสุดเสียง เสียงของความเจ็บปวดปนความสับสน หากแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ฉันหอบหายใจพร้อมกับทั้งร่างกายที่สั่นคลอน เจ็บหัวใจเหมือนถูกบีบด้วยกำมือที่เลือดเย็น ท้องไส้ปั่นป่วน ฉันรีบรุดไปห้องน้ำ กอดโถชักโครก และอาเจียรอย่างไร้สาเหตุ ฉันหายใจเฮือกใหญ่เหมือนคนขาดอากาศหายใจใกล้ตาย
น้ำใส ๆ ไหลออกตา ฉันใช้สองมือทุบพื้นอย่างแรง ซ้ำไปซ้ำมา เสมือนดั่งว่าถูกควบคุมด้วยพลังงานที่ัฉันไม่สามารถมองเห็นได้
ความคิดเคลื่อนผ่านสมองน้อย ๆ ของฉัน อย่างไร้แรงต้านทาน คำพูดแสนหวาน สุดหรูของกวินทร์ ฉันก้มมองดูแหวนวงน้อย ๆ ที่นิ้วของฉัน กวินทร์ให้ไว้ครั้งที่เราพบกับที่เมืองไทย แหวนที่ฉันมักมองดูเสมอเพื่อปลอบประโลม ในยามที่ฉันนั้นหวั่นเกรง แหวนที่เป็นดั่งคำมั่นสัญญาของความรักที่เรามีให้ต่อกัน ในเวลานี้ หรือ มันคือเพียงคำโกหก
“เขาทิ้งฉันไป ฉันไม่ดีอย่างไร”
“ไม่จริง เขาคงถูกบังคับ ให้ทำอย่างนี้”
ความคิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว สลับกับการปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น และคาดหวังว่าพรุ่งนี้กวินทร์คงจะมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ กระแสของความสับสน บนการหลอกตัวเองทำฉันรู้สึกเหมือนคนคลุ้มคลั้ง ที่เฝ้าถามถึงคำถามที่ไม่มีคำตอบ
ฉันจำไม่ได้เสียแล้วว่าผ่านค่ำคืนนั้นมาได้อย่างไร รู้เพียงแต่มันทรมานดั่งมีเข็มนับพันทิ่มแทง ฉันเผลอหลับไปได้ไม่นาน ก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะความกลัว
ฉันมองหาว่าเมื่อไหร่ กวินทร์จะกลับมา ฉันเดินอย่างคนไร้วิญญาณ ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวสวย เผื่อว่าเวลาที่กวินทร์กลับมาแล้ว เขาคงจะรักฉันเหมือนเดิม เหมือนคนบ้าที่หลอกตัวเอง
ฉันเข้าครัว ทำอาหาร เวลาที่กวินทร์กลับมาแล้ว เขาคงจะหิว ฉันนั่งอยู่ตรงนั้น หน้าโต๊ะอาหารที่มีอาหารเต็มโต๊ะ รอจนอาหารเย็นชืด ก็ไม่มีวี่แววของกวินทร์ เขาคงทิ้งฉันไปจริง ๆ แล้ว
น้ำตาใสๆ ไหลริน ฉันพึ่งเข้าใจก็วันนี้ นาทีที่ใครซักคนคิดฆ่าตัวตายมันคงเป็นอย่างนี้ซินะ ความทรมานที่เสมือนมีมีดกรีดแทงในหัวใจ ความเจ็บปวดที่เนิ่นนาน ที่คงมีเพียงความตายที่จะหยุดมันได้ ฉันเดินลงไปที่ถนน ลมเย็นปะทะหน้าของฉัน อากาศแห้ง ๆ ไหลผ่านจมูกของฉัน เข้าตรงกรีดกลางใจ
มองไปทางใด ไร้คนรู้จัก ฉันหยุดอยู่ที่ริมถนนนั้น มองรถที่ผ่านไปมาด้วยความเร็ว กระแสลมที่ปะทะฉันทำเอาตัวฉันไหวเอน
หากว่าฉันก้าวไปข้างหน้า มันจะเจ็บซักขนาดไหน จะเท่ากับความเจ็บปวดในหัวใจนี้หรือไม่
หากว่าฉันเพียงก้าวไปข้างหน้า น้ำตาของฉันคงหยุดไหล แล้วเขาอาจเห็นใจคนที่เขาทำร้ายคนนี้
ในนาทีนั้น เป็นหรือตายอยู่ใกล้กันแค่ก้าวเดียว ฉันยืนอยู่ริมทางเท้า ทางเท้าของความเป็นและความตาย
ภาพพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าผุดขึ้นในหัว หากว่าฉันตายไปแล้ว ความเจ็บปวดนี้พวกท่านจะทนได้อย่างไร
ห้วงของความคิดของฉันหยุดลงชั่วขณะ เมื่อรถสีแดงคันเล็กคันหนึ่งขับเข้ามาและปาดลงตรงหน้าของฉัน
ประตูด้านข้างคนขับเปิดออก และคือกวินทร์ที่ก้าวออกมาจากรถ ฉันมองเข้าไปในรถจึงเห็นว่าเป็นมาลิสานั่นเองที่นั่งอยู่ตรงที่คนขับ
“อย่าให้ฉันต้องรอนานนะ” มาลิสา กำชับก่อนขับรถออกไป
“ลิต้า เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้” กวินทร์พูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย “เข้าไปข้างในกันเถอะ”